วัดพุทธโพธิวันเป็นวัดพุทธศาสนาสายปฏิบัติตามแนวทางของพระโพธิญาณเถร (พระอาจารย์ชา สุภทฺโท ชาตะ พ.ศ. 2461 มรณภาพ พ.ศ. 2535) มีพระโสภณภาวนาวิเทศ หรือ พระอาจารย์กัลยาโณซึ่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ตั้งแต่ปี่ 2528 เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระอาจารย์กัลยาโนศึกษาและปฏิบัติธรรมที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2528 กับพระอาจารย์ชา และภายหลังจากที่พระอาจารย์ชามรณภาพจึงได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์อนันต์ อกิญฺจโน ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์อาวุโสของพระอาจารย์ชา
ประวัติความเป็นมาของวัดพุทธโพธิวัน
วัดพุทธโพธิวันเป็นวัดพุทธศาสนาสายปฏิบัติตามแนวทางของพระโพธิญาณเถร (พระอาจารย์ชา สุภทฺโท ชาตะ พ.ศ. 2461 มรณภาพ พ.ศ. 2535) มีพระโสภณภาวนาวิเทศ หรือ พระอาจารย์กัลยาโณซึ่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ตั้งแต่ปี่ 2528 เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระอาจารย์กัลยาโนศึกษาและปฏิบัติธรรมที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2528 กับพระอาจารย์ชา และภายหลังจากที่พระอาจารย์ชามรณภาพจึงได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์อนันต์ อกิญฺจโน ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์อาวุโสของพระอาจารย์ชา
หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองและสืบหาที่ดินที่เหมาะสม สมาชิกของสมาคมฯก็ค้นพบสถานที่สร้างวัดได้มีขนาดพื้นที่จำนวน 75 เอเคอร์ (ไร่ ๒๐๐) ณ บริเวณริมอุทยานแห่งชาติยาร่า (Yarra Ranges National Park) ห่างจากตัวเมืองเมลเบิร์นไปทางทิศตะวันออกระยะทาง 80 กิโลเมตร ที่ดินตั้งอยู่ ณ เลขที่ 770 Woods Point Road ทางสมาคมฯ ได้จัดซื้อที่ดินดังกล่าวในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เป็นมูลค่า 177,500 เหรียญออสเตรเลีย
ในวันเดียวกันนั้น ประธานสมาคมฯ คุณ Jeffery Tan ได้ส่งสำเนาเอกสารการซื้อขายที่ดินให้แก่คุณ Bee Lian Soo ซึ่งพำนักอยู่ที่วัดมาบจันทร์ จังหวัดระยองเพื่อดำเนินการถวายที่ดินให้แก่พระอาจารย์อนันต์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ณ วัดมาบจันทร์ พระอาจารย์อนันต์ได้รับที่ดินผืนดังกล่าวไว้ในนามของคณะสงฆ์พระอาจารย์ชา และจะนำไปถวายแก่พระราชภาวนาวิกรม (พระอาจารย์เลี่ยม ฐิตธมฺโม) ณ วัดหนองป่าพง ขณะเดียวกันคุณ Bee Lian Soo ได้ขออนุญาตพระอาจารย์อนันต์เพื่อนิมนต์พระอาจารย์กัลยาโน เดินทางมายังประเทศออสเตรเลียเพื่อปฏิบัติธรรมและศึกษาธรรม ณ ที่ดินที่ได้จัดซื้อใหม่
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2544 พระอาจารย์อนันต์ พร้อมกับพระอาจารย์กัลยาโน และคุณ Jeffrey Tan ในนามของสมาคมสงฆ์แห่งรัฐวิกตอเรียได้เดินทางไปยังวัดหนองป่าพงเพื่อส่งมอบที่ดินให้แก่พระอาจารย์เลี่ยม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง วัดหนองป่าพงเป็นวัดต้นสังกัดสายปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์ชา พระอาจารย์เลี่ยมรับมอบที่ดินดังกล่าวไว้ในนามของคณะสงฆ์ของพระอาจารย์ชา พร้อมกับให้การอนุโมทนาการบริจาคครั้งนี้ หลังจากนั้นพระอาจารย์อนันต์จึงได้อนุญาตให้พระอาจารย์กัลยาโนเดินทางไปยังประเทศออสเตรเลียเพื่อปฏิบัติธรรม ณ ที่ดินที่ได้บริจาคตามคำนิมนต์ของสมาคมฯ โดยพระอาจารย์กัลยาโนเดินทางมาถึงประเทศออสเตรเลียในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ในระหว่างนั้นสมาคมฯ กำลังจัดเตรียมเอกสารเพื่อขออนุมัติก่อสร้างวัดจากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ( local shire council)
หลังจากฤดูเข้าพรรษาแรกของพระอาจารย์กัลยาโนในประเทศออสเตรเลีย ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 ท่านได้เดินทางไปยังประเทศอังกฤษเพื่อร่วมประชุมกับเจ้าอาวาสวัดต่างประเทศพระอาจารย์ชา ที่ประจำอยู่ ณ สาขาภาคพื้นตะวันตก คณะสงฆ์ภาคพื้นตะวันตกเห็นสมควรให้วัดพุทธโพธิวันขึ้นเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง หลังจากนั้น การประชุมประจำปีของวัดสาขาทั้งหมด ณ วัดหนองป่าพง ได้ถูกจัดขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2545 การประชุมครั้งนี้ได้ประกาศให้วัดพุทธโพธิวันเป็นอีกสาขาหนึ่งของวัดหนองป่าพง โดยมีพระอาจารย์กัลยาโน เป็นเจ้าอาวาส และมีสมาคมสงฆ์แห่งรัฐวิกตอเรียเป็นผู้ดูแลวัดอย่างเป็นทางการ
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 Shire of Yarra Ranges council ได้อนุมัติแผนการก่อสร้างวัดบนที่ดินผืนข้างต้นตามที่สมาคมฯ ร้องขอ ที่สมาคมสงฆ์ได้รับอนุญาตให้มีการก่อสร้างวัดบนผืนดินเลขที่ 770 Woods Point Road การพิจารณาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการอนุญาตให้มีการก่อสร้างอาคารเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสงฆ์ ในประเทศออสเตรเลีย นอกจากนั้นยังได้ออนุญาตให้มีการก่อสร้างกุฏิตามชายป่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นที่เจริญสมาธิสำหรับสงฆ์แต่ละรูป ซึ่งการอนุมัติครั้งนี้ได้อเปิดโอกาสให้พระสงฆ์สามารถบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเรียบง่ายภายในป่าซึ่งเป็นวิธีการปฏิบัติที่ได้รับมาจากประเทศไทย การก่อสร้างครั้งแรกได้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 โดยเริ่มจากการก่อสร้างกุฏิ และห้องน้ำเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระสงฆ์ในเบื้องต้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความจำกัดของขนาดของพื้นที่ในการรองรับการก่อสร้างวัด สิ่งอำนวยความสะดวกในเรื่องอุปโภค และ บริโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำ รวมไปถึงที่จอดรถและถนนที่จะเข้าไปถึงบริเวณวัด ทำให้การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้า และมีต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น สมาคมพุทธศาสนิกชนแห่งรัฐวิกตอเรียได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และเพื่อแก้ปัญหาพร้อมกับรองรับการก่อสร้างดังกล่าว ทางสมาคมฯ ได้จัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมซึ่งมีบริเวณติดกับที่ดินผืนเดิมอีกเป็นจำนวน 125 เอเคอร์ (๓๐๐ ไร่) ตั้งอยู่บนเลขที่ 780 Woods Point Road ซึ่งมีมูลค่า 795,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (รายละเอียดการซื้อขายตามที่จะได้แจ้งต่อไป)
จากการซื้อที่ดินเพิ่มเติมครั้งนี้ ทำให้มีผืนดินรวมถึง 200 เอเคอร์ (๕๐๐ ไร่) ซึ่งสามารถรองรับอาคารและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ที่ดินผืนใหม่ทำให้พระสงฆ์ที่ประจำอยู่ที่วัดสามารถมีอาคารและสิ่งจำเป็นพื้นฐาน อันได้แก่ โรงครัว โรงอาหาร ห้องน้ำ ได้สะดวกมากขึ้น รวมไปถึงการสร้างกุฏิเพิ่มเติมจำนวน 2 หลัง และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำความสะอาดเครื่องนุ่งห่มของสงฆ์ นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกแก่ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนวัดโดยการให้บริการห้องน้ำและที่จอดรถ
การก่อสร้าง พระอุโบสถ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา จำนวนของผู้ที่สนใจที่จะปฏิบัติธรรม ณ วัดพุทธโพธิวันจึงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พิธีอุปสมบทภิกษุ สามเณรจึงถูกจัดขึ้น ซึ่งพิธีดังกล่าวหากดำเนินการที่วัดจะต้องนิมนต์พระอาจารย์เลี่ยมเป็นพระอุปัชฌาย์รับรอง แต่ในกรณีที่ไม่สามารถจัดพิธีที่วัดพุทธโพธิวัน พระอาจารย์กัลยาโนพร้อมกับพระภิกษุจำนวนหนึ่งร่วมกับผู้ที่จะบวชและครอบครัวของผู้ที่จะบวชจะต้องเดินทางไปประเทศไทยเพื่อเข้าพิธีอุปสมบท
ต่อมาทางสมาคมสงฆ์แห่งรัฐวิกตอเรียและผู้สนับสนุนพระพุทธศาสนาและลูกศิษย์ของวัดได้ตระหนักเห็นว่าควรจัดสร้างพระอุโบสถขึ้นเพื่อให้สงฆ์ใช้เป็นที่ทำสังฆกรรม แผนการก่อสร้างพระอุโบสถได้ถูกจัดทำขึ้นและถูกนำเสนอต่อ Local council ภายใต้คำแนะนำของพระอาจารย์กัลยาโน ตัวพระอุโบสถมีความสูงจากระดับพื้นดิน 16 เมตร ยาว 27 เมตร กว้าง 15 เมตร ประดับหน้ามุขทั้งสองด้าน และมีชานกว้างขนาด 3 เมตรเป็นทางรอบล้อม
ในเดือนกันยายน 2548 Shire of Yarra Ranges ได้อนุมัติแผนการก่อสร้างพระอุโบสถ วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2549 พระอุโบสถจึงเริ่มสร้างขึ้น และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พระอาจารย์เลี่ยมได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถหลังใหม่ อาคารพระอุโบสถสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ไม่รวมถึงการตกแต่งภายในและบริเวณโดยรอบ
ส่วนสีมา หรือ เขตที่กำหนดขึ้นสำหรับการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์นั้นได้ถูกกำหนดขึ้นใหม่พร้อมกับการก่อสร้างพระอุโบสถ โดยมีขนาดกว้าง 24 เมตร ยาว 46 เมตร กำหนดเขตแปดทิศโดยลูกนิมิตที่ทำจากหินเกรนิตแปดลูก ส่วนสีมาเดิมนั้น ทางวัดได้จัดทำพิธีสวดถอนสีมาไปในช่วงต้นของฤดูเข้าพรรษาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขตสีมาใหม่จะถูกกำหนดตามข้อบัญญัติในพระวินัยเมื่อพิธีเปิดพระอุโบสถได้ดำเนินการเป็นทางการ ในพิธีดังกล่าวลูกนิมิตลูกที่เก้าจะถูกฝังลงที่กลางพระอุโบสถ ณ บริเวณอาสนะสงฆ์
กุฏิรับรองพระมหาเถระ
กุฏิหลังนี้ซึ่งสร้างหลังอุโบสถ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2553 มีความกว้าง 6.2 เมตร ยาว 16.7 เมตร สูง 3.6 เมตร โคร้างไม้ทรงตะวันตก ยกพื้นสูง มีห้องพัก 1 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง ห้องโถงใหญ่ 1 ห้อง ห้องครัว 1 ห้อง มีระเบียงด้านหน้าและประดับด้วยสวนหย่อมสไตล์ญี่ปุ่น
กุฏิพระภิกษุ สามเณร
กุฏิพระภิกษุ สามเณร มีทั้งหมด 14 หลัง เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ.2546 -2557 กุแต่ละหลังมีโครงสร้างไม้มุงหลังคาสังกะลอนเคลือบสีเขียวอย่างดี ใช้ด้วยวัสดุกันความหนาวเย็น ไม่มีไฟฟ้าและห้องน้ำ มีทางจงกรมมุงหลังคา ขนาดความกว้าง 4 เมตร ยาว 5 เมตร สูง 3.6 เมตร
กุฏิกรรมฐาน
สร้างทางทิศเหนือของอุโบสถห่างประมาณ 1 กิโลเมตร เริ่มสร้าง เดือน เมษายน พ.ศ. 2560 – เดือน มกราคม พ.ศ.2561 โครงสร้างไม้ผนังปูนประยุกต์ ใช้วัสดุกันความหนาวเย็น มีห้องพัก 1 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง ห้องครัว 1 ห้อง ห้องโถงใหญ่ 1 ห้อง พร้อมสร้างโรงเก็บไม้สำหรับใส่เตาผิง 1 หลัง กุฏิกรรมฐานนี้มีขนาดความกว้าง 10.6 เมตร ยาว 15.7 เมตร สูง 4 เมตร
ห้องน้ำชาย – หญิง
อยู้ทางทิศเหนือเฉียงใต้อุโสถ สร้างเมื่อ พ.ศ.2552 ขนาดความกว้าง 10 เมตร ความยาว 12 เมตร ความสูง 4 เมตร โครงสร้างด้วยอิฐภูเขาไฟเสริมเหล็ก หลังคามุงด้วยสังกะสีเคลือบสีเขียวอย่างดีชั้นเดียว แบ่งเป็น 4 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นห้องน้ำชายมีห้องสุขา 3 ห้อง โถปัสสาวะ 3 ชุด อ่างล้างหน้า 4 แท่น ส่วนที่ 2 เป็นห้องน้ำหญิง มีห้องสุขา 5 ห้อง อ่างล้างหน้า 4 แท่น ห้องอาบน้ำสำหรับผู้หญิง 1 ห้อง ห้องน้ำสำหรับผู้พิการ 1 ห้อง
ธรรมศาลา – หอฉัน
อยู่ทางทิศตะวันออกของอุโบสถ สร้างเมื่อ พ.ศ.2557 โครงสร้างด้วยอิฐภูเขาไฟแดง ตกแต่งด้วยกระจกรอบตัวอาคาร ขนาดความกว้าง 28 เมตร ยาว 16 เมตร สูง 9 เมตร แบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 เป็นด้านหน้าใช้สำหรับโต๊ะหนังสือ – CD ธรรมะ ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ส่วนที่ 2 เป็นมีห้องโถงใหญ่สำหรับประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาและฉันภัตตาหาร
ส่วนที่ 3 เป็นห้องน้ำ 2 ห้อง อ่างล้างหน้า 2 แท่น ห้องคลังเก็บของ 1 ห้อง ห้องเครื่องเสียง 1 ห้อง
บันไดมังกรคายพญานาค
อยู่นอกตัวอาคารอุโบสถเพื่อเชื่อมโยงทางเดินมาทางธรรมศาลา-หอฉัน สร้างด้วยไฟเบอร์เคลือบสีขาวอย่างดี เครื่องทรงพญานาคสีทอง ฝีมือช่างอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ประเทศไทย